วันศุกร์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ความแตกต่างของลักษณะการให้บริการเครือข่ายแบบ Peer-to-Peer และ แบบ Client-Server

  • Peer-to-peer (P2P) เป็นเทคโนโลยีการสื่อสารข้อมูลบนเครือข่ายคอมพิวเตอร์แบบ client-client โดยที่ client แต่ละเครื่องมีข้อมูลเก็บอยู่ และสามารถจำลองตนเองเป็น server เพื่อเปิดให้ client เครื่องอื่นๆ สามารถเข้ามาโหลดข้อมูลจากเครื่องของตนเองได้โดยอาศัยพลังงานและ bandwidth ที่เครื่องตนเองมี ซึ่งจะแตกต่างกับการสื่อสารแบบ client-server ที่มี server เก็บข้อมูลไว้เพียงเครื่องเดียว และเปิดให้ client เครื่องอื่นเข้ามาโหลดข้อมูล


ที่มา : http://guru.google.co.th/guru/thread

ความแตกต่างระหว่างเครือข่ายในระดับกายภาพ และระดับตรรก

  • ความเป็นอิสระของข้อมูลทางตรรกะ (Logical data independence) หมายถึง การเปลี่ยนแปลงในระดับแนวคิดจะไม่ส่งผลกระทบต่อระดับภายนอก  เช่น  การเพิ่มเอนติตี้ , แอททริบิวท์ และความสัมพันธ์ ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงในระดับแนวคิด จะไม่กระทบกับมุมมองภายนอก หรือไม่ต้องเขียนโปรแกรมใหม่ความเป็นอิสระของข้อมูลในระดับกายภาพ (Physical data independence) หมายถึง การเปลี่ยนแปลงในระดับภายในไม่ส่งผลกระทบต่อระดับแนวคิด  การเปลี่ยนแปลงในระดับภายในได้แก่ การใช้โครงสร้างแฟ้มข้อมูลใหม่ หรือโครงสร้างการจัดเก็บใหม่ , ใช้หน่วยเก็บข้อมูลแบบอื่น , การแก้ไขดัชนีหรืออัลกอริธึมแบบแฮช


ที่มา : http://www.oknation.net/blog/print.php

ข้อดี ข้อจำกัดของโทโพโลยีในการเชื่อมต่อเครือข่ายแบบบัส (Bus) กับแบบวงแหวน (Ring)

โทโปโลยีแบบบัส (Bus Topology) 
     โทโปโลยีแบบบัส บางทีก็เรียกว่า Linear bus เพราะมีการเชื่อมต่อแบบเส้นตรงซึ่งเป็นลักษณะการเชื่อมต่อที่ง่ายที่สุด และเป็นโทโปโลยีที่นิยมกันมากที่สุดในสมัยแรกๆ 
ข้อดี
- ประหยัดค่าใช้จ่ายในการติดตั้ง
- มีโครงสร้างง่ายและระบบก็มีความน่าเชื่อถือเพราะใช้สายส่งข้อมูลเพียงเส้นเดียว
- ง่ายในการเพิ่มจุดบริการใหม่เข้าสู่ระบบ
 
ข้อจำกัด
- การตรวจหาข้อผิดพลาดของระบบทำได้ยาก
- ในกรณีที่สายส่งข้อมูลเกิดเสียหายจะทำให้ระบบ ทั้งระบบไม่สามารถทำงานได้
 


โทโปโลยีแบบวงแหวน (Ring Topology)
      โทโปโลยีแบบวงแหวนนี้จะใช้สายสัญญาณเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์เป็นห่วงหรือวงแหวน การเชื่อมต่อแบบนี้สัญญาณจะเดินทางเป็นวงกลมในทิศทางเดียว และจะวิ่งผ่านคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่อง ซึ่งจะทำหน้าที่ทวนสัญญาณไปในตัวแล้วส่งผ่านไปเครื่องถัดไป ซึ่งถ้าคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งเครื่องใดหยุดทำงานก็จะทำให้ระบบเครือข่ายล่มเช่นกัน 
ข้อดี
- ใช้สายส่งข้อมูลน้อยจะใกล้เคียงกับแบบ Bus
- ประหยัดค่าใช้จ่ายในการติดตั้ง
- ง่ายในการเพิ่มจุดบริการใหม่เข้าสู่ระบบ
 
ข้อจำกัด
- ถ้าจุดใดจุดหนึ่งเสียหายจะทำให้ระบบทั้งระบบไม่สามารถติดต่อกันได้
- ยากในการตรวจสอบข้อผิดพลาด
 


ที่มา : http://www.mvt.co.th/viewarticle.php

หน้าที่ของอุปกรณ์เครือข่าย


หน้าที่ของอุปกรณ์เครือข่าย  Repeater
  • อุปกรณ์ทวนสัญญาณ ทำงานใน Layer ที่ 1 OSI Model เป็นอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่รับสัญญาณดิจิตอลเข้ามาแล้วสร้างใหม่ (Regenerate) ให้เป็นเหมือนสัญญาณ (ข้อมูล) เดิมที่ส่งมาจากต้นทาง จากนั้นค่อยส่งต่อออกไปยังอุปกรณ์ตัวอื่น

หน้าที่ของอุปกรณ์เครือข่าย  Bridge
  • อุปกรณ์ Bridge เป็นสิ่งที่ใช้แก้ไขปัญหาในเรื่องสัญญาณที่วิ่งอยู่ในเครือข่ายมากเกินไปได้โดยจะจัดแบ่งเครือข่ายออกเป็นเครือข่ายย่อยหรือ Network Segment และจะทำการกลั่นกรองสัญญาณเท่าที่จำเป็นเพื่อส่งให้กับเครือข่ายย่อยที่ถูกต้องได้

หน้าที่ของอุปกรณ์เครือข่าย  Switch  
  • Switch (สวิตซ์) คือ อุปกรณ์เครือข่ายที่ทำหน้าที่ใสเลเยอร์ที่ 2 Switch  บางทีก็เรียกว่า Switching Hub (สวิตชิ่งฮับ) ซึ่งในช่วงแรกนั้นจะเรียกว่า Bridge (บริดจ์เหตุผลที่เรียกว่าบริดจ์ในช่วงแรกนั้น เพราะส่วนใหญ่บริดจ์จะมีแค่สองพอร์ต และใช้สำหรับแยกคอลลิชันโดเมน ปัจจุบันที่เรียกว่า Switch เพราะหมายถึง บริดจ์ที่มีมากกว่าสองพอร์ตนั่นเอง

หน้าที่ของอุปกรณ์เครือข่าย Gateway
  • เกตเวย์ (Gateway) เป็นอุปกรณ์ที่มีความสามารถสูงในการเชื่อมต่อเครือข่ายต่างๆ เข้าด้วยกัน โดยสามารถเชื่อมต่อ LAN หลายๆ เครือข่ายที่ใช้โปรโตคอลต่างกัน และใช้สื่อส่งข้อมูลต่างชนิดกันได้อย่างไม่มีขีดจำกัด ตัวอย่างเช่น เชื่อมต่อ Ethernet LAN ที่ใช้สายส่งแบบ UTP เข้ากับ Token Ring LAN ได้

ที่มา : http://www.thaigoodview.com/library/contest2552/type2/tech04/24/n2.html

คุณสมบัติของสายสัญญาณ และลำดับสายสัญญาณที่มีคุณภาพจากสูงไปต่ำ


Minimum Frequency (สูงสุด)
100 MHz
100 MHz
250 MHz
Attenuation (สูงสุด)
24 dB
24 dB
36 dB
NEXT (ต่ำสุด)
27.1 dB
30.1 dB
33.1 dB
PS-NEXT(ต่ำสุด)
N/A
27.1 dB
33.2 dB
ELFEXT(ต่ำสุด)
17 dB
17.4 dB
17.3 dB
PS-ELFEXT(ต่ำสุด)
14.4 dB
14.4 dB
12.3 dB
ACR(ต่ำสุด)
3.1 dB
6.1 dB
-2.9 dB
PS-ACR(ต่ำสุด)
N/B
3.1 dB
-5.8 dB
Return Loss(ต่ำสุด)
8 dB
10 dB
8 dB
Propagation Delay (สูงสุด)
548 nsec
548 nsec
546 nsec
Delay Skew (สูงสุด)
50 nsec
50 nsec
50 nsec

    


  ที่มา : http://piyanas.com/forum/index.php?topic=9363.25;wap2

ทิศทางของการสื่อสารข้อมูล


  • แบบทิศทางเดียว (Simplex  เป็นทิศทางการสื่อสารข้อมูลแบบที่ข้อมูลจะถูกส่งจากทิศทางหนึ่งไปยังอีกทิศทางโดยไม่สามารถส่งข้อมูลย้อนกลับมาได้เช่นระบบวิทยุหรือโทรทัศน์
  • แบบกึ่งสองทิศทาง ( Half Duplex  เป็นทิศทางการสื่อสารข้อมูลแบบที่ข้อมูลสามารถส่งกลับกันได้ 2 ทิศทาง แต่จะไม่สามารถส่งพร้อมกันได้ โดยต้องผลัดกันส่งครั้งละทิศทางเท่านั้น เช่น วิทยุสื่อสารแบบผลัดกันพูด
  • แบบสองทิศทาง  Full Duplex  เป็นทิศทางการสื่อสารข้อมูลแบบที่ข้อมูลสามารถส่งพร้อม ๆ กันได้ทั้ง 2 ทิศทาง ในเวลาเดียวกัน เช่น ระบบโทรศัพท์ระบบเครือข่ายแบบเบสแบนด์ และบรอดแบนด์


ที่มา : http://computernetwork.site40.net/chapter1-2.html


ความแตกต่างของสัญญาณอนาล็อก กับสัญญาณดิจิตอล


  • ความแตกต่างระหว่างอนาล็อก และ ดิจิตอล คือ อนาล็อกเป็นการบันทึกรูปแบบคลื่นเสียงลงบนตัวกลางเช่น เทป ส่วน ดิจิตอลเป็นการแปลงสัญญาณอนาล็อกที่เป็นคลื่นเสียงให้เป็นชุดของตัวเลขและทำการบันทึกตัวเลขที่ได้แทน เมื่อมีการเล่น, ตัวเลขที่จะถูกแปลงเป็นกระแสไฟฟ้าที่ใกล้เคียงกับคลื่นอนาล็อกเดิม


ที่มา : http://piyanas.com/forum/index.php?topic=5273.0

องค์ประกอบของการสื่อสารข้อมูลด้วยคอมพิวเตอร์


  • ผู้ส่ง ( Sender ) คือ อุปกรณ์ที่ใช้ในการส่งข้อมูล ซึ่งอาจจะเป็น คน คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์ กล้องวิดีโอ เป็นต้น
  • ผู้รับ ( Receiver ) คือ อุปกรณ์ที่ใช้ในการรับข้อมูล ซึ่งอาจจะเป็น คน คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์โทรทัศน์ เป็นต้น
  • ข้อมูล ( Message ) คือ ข้อมูลหรือข่าวสารที่ต้องการส่ง ซึ่งอาจจะเป็น ตัวหนังสือ ตัวเลข รูป เสียง หรือวิดีโอ    ( ทั้งรูปและเสียง ) หรือสิ่งใดก็ตามที่ต้องการส่งหรือรับ
  • สื่อกลาง ( Medium ) คือ สื่อกลางทางกายภาพที่ใช้ในการนำข้อมูลจากต้นทางไปสู่ปลายทาง ซึ่งอาจจะเป็นสื่อแบบสาย เช่น สายคู่ตีเกลียว สายโคแอกเชี่ยล สายไฟเบอร์ออพติก หรือสื่อแบบไม่มีสาย เช่น คลื่นวิทยุเลเซอร์    เป็นต้น


ที่มา : http://www.il.mahidol.ac.th/e-media/computer/network/net_datacom2.htm